เมนู

[1378] ความโกรธย่อมเจริญขึ้นแก่ผู้ใด ดุจไฟ
เจริญขึ้นในกองหญ้าแลไม้ฉะนั้น ยศของ
บุคคลนั้นย่อมเสื่อมไป เหมือนพระจันทร์ข้าง
แรม ฉะนั้น.
[1379] ความโกรธของผู้ใดสงบลงได้ ประดุจ
ไฟที่ไม่มีเชื้อฉะนั้น ยศของผู้นั้นย่อมเต็ม
เปี่ยม เหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น ฉะนั้น.

จบ จุลลโพธิชาดกที่ 5

อรรถกถาจุลลโพธิชาดกที่ 5



พระศาสดาเมื่อประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุมักโกรธรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย เต
อิมํ วิสาลกฺขึ
ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นแม้บวชในพระพุทธศาสนา ที่จะนำออก
จากทุกข์ ก็ไม่สามารถเพื่อจะข่มความโกรธได้ เป็นคนมักโกรธ มากไป
ด้วยความเคียดแค้นเสมอ เมื่อถูกกล่าวว่าเพียงเล็กน้อย ก็ขุ่นแค้นโกรธ
มุ่งร้ายหมายขวัญ ดังนี้แหละ พระศาสดาทรงทราบว่า ภิกษุรูปนั้น
มักโกรธ จึงรับสั่งให้เรียกเธอมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า

เธอเป็นคนมักโกรธจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า
ดังนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่าความโกรธ เธอควรจะห้ามเสีย
อันความโกรธเห็นปานนี้ ที่จะทำประโยชน์ให้ในโลกนี้และโลกหน้าเป็น
ไม่มี เธอบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าที่ไม่โกรธแล้ว เหตุไรจึงยัง
โกรธเล่า ? จริงอยู่โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้บวชแล้วในลัทธินอก
พุทธศาสนา ก็ยังไม่ทำความโกรธ ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในพระนคร
พาราณสี ณ นิคมของชาวกาสีแห่งหนึ่ง มีพราหมณ์คนหนึ่ง เป็น
ผู้มั่งคั่ง มีโภคทรัพย์มาก แต่ไม่มีบุตร นางพราหมณีภรรยาของเขา
อยากได้บุตร คราวนั้นพระโพธิสัตว์จุติจากพรหมโลก มาบังเกิดในท้อง
นางพราหมณี ในวันตั้งชื่อกุมารนั้น ญาติทั้งหลายตั้งชื่อว่า โพธิกุมาร
ครั้นเจริญวัยแล้ว ไปเมืองตักกศิลาเรียนศิลปะทุกอย่างสำเร็จแล้วกลับ
มา มารดาบิดาได้นำกุมาริกา ผู้มีตระกูลเสมอกันมาให้เขาผู้ซึ่งยังไม่
ปรารถนาเลย แม้กุมาริกานั้นก็จุติจากพรหมโลกเหมือนกัน มีรูปร่าง
งามเลิศเปรียบด้วยเทพอัปสร โพธิกุมารกับนางกุมาริกาต่างไม่
ปรารถนาเป็นสามีภรรยากัน ญาติทั้งหลายก็จัดการอาวาหวิวาหมงคลให้
ก็ชนแม้ทั้งสองนั้นไม่เคยมีความฟุ้งซ่านด้วยกิเลส เพียงแต่จะแลดูกัน
ด้วยอำนาจแห่งราคะก็มิได้มี ขึ้นชื่อว่าเมถุนธรรม ไม่เคยประสบแม้
ในฝัน ทั้งสองได้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ด้วยประการฉะนี้.

ต่อมาภายหลัง เมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรมแล้ว พระมหาสัตว์
ได้จัดการปลงศพของท่านทั้งสองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรียกนางกุมาริกา
มาสั่งว่า ที่รัก เธอจงรับทรัพย์ 80 โกฏินี้ไว้เลี้ยงชีพให้เป็นสุขเถิด นาง
กุมาริกาถามว่า ข้าแต่ลูกเจ้าก็ตัวท่านเล่า ? พระมหาสัตว์ตอบว่า ฉัน
ไม่มีกิจด้วยทรัพย์ ฉันจักเข้าไปถิ่นหิมพานต์ บวชเป็นฤาษีทำที่พึ่งแก่ตน
นางกุมาริกาถามว่า ข้าแต่ลูกเจ้า ก็การบรรพชานั้น ควรแก่พวกบุรุษ
เท่านั้นหรือ ? พระมหาสัตว์ตอบว่า แม้พวกสตรีก็ควร ที่รัก. นางกุมาริกา
จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ฉันจักไม่รับเขฬะที่ท่านถ่มทิ้งไว้ แม้ฉันก็ไม่มี
กิจด้วยทรัพย์ ถึงฉันก็จักบวช พระมหาสัตว์ก็รับรองว่า ดีแล้ว. ที่รัก
เขาทั้งสองได้ให้ทานเป็นการใหญ่ แล้วออกไปสร้างอาศรม ในภูมิ
ประเทศที่น่ารื่นรมย์ บวชแล้วเที่ยวแสวงหาผลาผลเลี้ยงชีพ อยู่ในที่
นั้นประมาณ 10 ปี ฌานสมาบัติก็มิได้เกิดขึ้นแก่เขาทั้งสองนั้นเลย
ฤาษีทั้งสองอยู่ในที่นั้น 10 ปี ด้วยความสุขเกิดแต่บรรพชาเท่านั้น เพื่อ
ต้องการจะเสพรสเค็มรสเปรี้ยว จึงเที่ยวจาริกไปตามชนบท ถึงพระนคร
พาราณสีโดยลำดับ อาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน.
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทอดพระเนตรเห็นบุรุษเฝ้าสวน ถือ
เครื่องบรรณาการมาเฝ้า จึงตรัสว่า เราจักไปชมสวน เจ้าจงชำระสวน
ให้สะอาด ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปยังพระราชอุทยานที่นายอุทยานบาลนั้น
ชำระสะอาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก. ขณะนั้น

ชนทั้งสองแม้เหล่านั้นนั่งให้กาลล่วงไป ด้วยความสุขอันเกิดแต่บรรพชา
อยู่ ณ ด้านหนึ่งของพระราชอุทยาน. ลำดับนั้น พระราชาเสด็จ
ประพาสพระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นชนแม้ทั้งสองนั้นผู้นั่งอยู่
แล้ว เมื่อทรงแลดูนางปริพพาชิกาผู้มีรูปร่างงามเลิศน่าเลื่อมใสยิ่ง ก็มี
พระทัยปฏิพัทธ์ พระองค์ทรงสะท้านอยู่ด้วยอำนาจแห่งกิเลส ทรง
พระดำริว่า เราจักถามดูก่อน นางปริพพาชิกานี้จะเป็นอะไรกันกับ
ดาบสนี้ แล้วเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ตรัสถามว่า ข้าแต่บรรพชิต
นางปริพพาชิกานี้เป็นอะไรกันกับท่าน. พระดาบสตอบว่ามหาบพิตรไม่
ได้เป็นอะไรกัน เป็นแต่บวชด้วยกันอย่างเดียว ก็แต่ว่า เมื่อครั้งเป็น
คฤหัสถ์ นางนี้ได้เป็นบาทบริจาริกาของอาตมภาพ พระราชาได้ทรง
สดับดังนี้แล้ว ทรงพระดำริว่า นางนี้มิได้เป็นอะไรกันกับพระดาบสนั้น
แต่เป็นบาทบริจาริกาเมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ ก็ถ้าเราจักพาเอานางนี้ไปด้วย
กำลังความเป็นใหญ่ไซร้ พระดาบสนี้จักทำอย่างไรหนอ แลเราจัก
สอบถามดาบสนั้นดูก่อน ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปใกล้ กล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าจะมีบุคคลมาพาเอา
นางปริพพาชิกา ผู้มีนัยน์ตากว้างงามน่ารัก มี
ใบหน้าอมยิ้ม ของท่านไปด้วยกำลัง ท่านจะ
ทำอย่างไรเล่า ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํสิลหาสินึ ได้แก่ผู้มีใบหน้ายิ้ม
เล็กน้อย. บทว่า พลา คจฺเฉยฺย ได้แก่พาเอาไปด้วยพลการ. บทว่า
กึ นุ กยิราสิ ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจะทำอย่างไรแก่บุคคลนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้ฟังพระดำรัสของพระราชานั้นแล้ว
กล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
ถ้าความโกรธ เกิดขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว
ยังไม่เสื่อมคลายไป เมื่ออาตมภาพยังมีชีวิตอยู่
ก็ยังไม่หาย อาตมภาพ จะห้ามมันเสียโดยพลัน
ทีเดียว ดังฝนห่าใหญ่ชำระล้างธุลี ฉะนั้น.

พึงทราบเนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นดังนี้ :-
ข้าแต่มหาบพิตร ถ้าเมื่อใคร ๆ พานางนี้ไป ความโกรธพึงเกิด
ขึ้นแก่อาตมภาพในภายใน ความโกรธนั้นครั้นเกิดขึ้นแก่อาตมภาพใน
ภายในแล้ว ไม่พึงเสื่อมคลายไป จะไม่พึงเสื่อมคลายไป ตราบเท่าที่
อาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ อาตมาภาพก็จักไม่ให้ความโกรธนั้นตั้งอยู่ข้างใน
โดยการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนได้โดยที่แท้แล อาตมภาพจะข่มห้ามกัน
เสียด้วยเมตตาภาวนาโดยพลัน เหมือนเมล็ดฝนห่าใหญ่ ชำระล้างธุลี
ที่เกิดขึ้นแล้วโดยพลัน ฉะนั้น.
พระมหาสัตว์ได้บันลือสีหนาทอย่างนี้. ฝ่ายพระราชาแม้ได้ทรง
สดับถ้อยคำของพระมหาสัตว์แล้ว ก็ไม่อาจจะห้ามพระทัยของพระองค์

ที่ทรงปฏิพัทธ์ได้เพราะเป็นอันธพาล ทรงบังคับอำมาตย์คนหนึ่งว่า เธอ
จงนำนางปริพพรชิกานี้ไปยังพระราชนิเวศน์ อำมาตย์นั้นรับพระราช-
บัญชาแล้ว ได้พานางปริพพาชิกาผู้คร่ำครวญอยู่ว่า อธรรมกำลังเป็นไป
ในโลกไม่สมควรเลย ดังนี้เป็นต้นไปแล้ว พระโพธิสัตว์สดับเสียงคร่ำ
คราญของนาง แลดูครั้งเดียวแล้ว ไม่ได้แลดูอีก พวกราชบุรุษก็นำนาง
ผู้ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ไปสู่พระราชนิเวศน์แล้ว พระราชาพาลแม้นั้นก็มิ
ได้เนิ่นช้าอยู่ในพระราชอุทยาน รีบเสด็จไปพระราชวังรับสั่งให้หานาง
ปริพพาชิกานั้นมา แล้วเชื้อเชิญด้วยยศอันยิ่งใหญ่ แต่นางได้พรรณนา
โทษของยศและคุณของบรรพชาอยู่เรื่อย พระราชาทรงใช้วิธีการต่าง ๆ
ก็ไม่สามารถจะผูกใจนางไว้ได้ จึงรับสั่งให้ขังนางไว้ในห้องหนึ่ง แล้ว
ทรงริดำว่า นางปริพพาชิกานี้ มีศีลมีกัลยาณธรรม ไม่ปรารถนา
ยศเห็นปานนี้ แม้พระดาบสนั้น เมื่อคนเขาพานางที่ดีเห็นปานนี้ไปก็
มิได้แลดูด้วยความโกรธ แต่ธรรมดาบรรพชิตย่อมมีมายามาก ประกอบ
อะไร ๆ ขึ้นแล้วจะพึงทำความพินาศให้แก่เรา เราจะไปดูให้รู้ก่อนว่าแก
นั่งทำอะไรอยู่ ดำริดังนี้แล้ว ก็ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้จึงเสด็จไปพระ-
ราชอุทยาน.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้นั่งเย็บจีวรอยู่ พระราชาพร้อมด้วยบริวาร
เล็กน้อย ค่อย ๆ เสด็จเข้าไปไม่ให้มีเสียงพระบาท พระโพธิสัตว์ไม่ได้
แลดูพระราชา เย็บจีวรเรื่อยไป พระราชาเข้าพระทัยว่า พระดาบสนี้

โกรธจึงไม่ปราศรัยกับเรา แลด้วยทรงสำคัญว่า ดาบสโกงนี้ ทีแรกอวด
อ้างว่า จักไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้น แม้ที่เกิดขึ้นแล้วก็จักข่มเสียโดยเร็ว
บัดนี้เป็นผู้กระด้างด้วยความโกรธ ไม่ปราศรัยกับเรา ดังนี้ จึงตรัส
คาถาที่ 3 ว่า :-
ท่านกล่าวอวดอ้างไว้ในวันก่อนอย่างไร
หนอ วันนี้เป็นเหมือนว่ามีกำลัง ทำเป็นไม่
เห็น นั่งนิ่งเย็บสังฆาฏิอยู่ในบัดนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พลมฺหิว อปสฺสิโต คือเป็นเหมือน
ว่าอาศัยกำลัง. บทว่า ตุณฺหีกโต ได้แก่ ไม่พูดคำอะไร ๆ. บทว่า
สิพฺพมจฺฉสิ เท่ากับ สิพฺพนฺโต อจฺฉสิ แปลว่า เย็บอยู่.
พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงคิดว่า พระราชานี้เข้าพระทัยว่า
ที่เราไม่ปราศรัยก็ด้วยอำนาจความโกรธ เราจักทูลความที่เราไม่ลุอำนาจ
ความโกรธที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบในบัดนี้ แล้วกล่าวคาถาที่ 4 ว่า :-
ความโกรธเกิดขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว ยัง
ไม่เสื่อมคลายไป เมื่ออาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ก็
ยังไม่หาย แต่อาตมภาพได้ห้ามกันแล้วโดย
พลัน เหมือนฝนห่าใหญ่ชำระล้างธุลี ฉะนั้น.

พึงทราบเนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า :-

ข้าแต่มหาบพิตร ความโกรธเกิดขึ้นแล้วแก่อาตมภาพ ความ
โกรธนั้นครั้นเกิดขึ้นแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไปจากอาตมภาพอีก
อาตมภาพไม่ได้ให้ความโกรธนั้น เข้าไปตั้งอยู่ในหทัยได้ เมื่ออาตมภาพ
ยังมีชีวิตอยู่ ความโกรธนั้นก็ยังไม่ตายด้วยประการฉะนี้ แต่อาตมภาพ
ได้ห้ามกันแล้วโดยฉับพลัน เหมือนเมล็ดฝนห่าใหญ่ชำระล้างธุลีฉะนั้น.
พระราชาทรงสดับ ดังนั้นแล้วทรงดำริว่า ดาบสนี้พูดหมายถึง
ความโกรธเท่านั้น หรือหมายถึงศิลปะอะไร ๆ อย่างอื่นด้วย เราจัก
ถามท่านดูก่อน เมื่อจะตรัสถาม ได้ตรัสคาถาที่ 5 ว่า :-
ความโกรธเกิดขึ้นแก่ท่านแล้ว ยังไม่
เสื่อมคลายไปเป็นอย่างไร เมื่อท่านยังมีชีวิต
อยู่ ความโกรธก็ยังไม่หายเป็นอย่างไร ท่าน
ได้ห้ามกันความโกรธ เหมือนฝนห่าใหญ่ชำระ
ล้างธุลีฉะนั้น เป็นไฉน ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กินฺเต อุปฺปชฺชิโน มุญฺจิ ความว่า
ความโกรธเกิดขึ้นแก่ท่านด้วยยังไม่เสื่อมคลายไปแล้วด้วย เป็นอย่างไร ?
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว กล่าวว่า มหาบพิตร ความโกรธ
มีโทษมากมายอย่างนี้ เพราะประกอบด้วยความพินาศใหญ่ ความโกรธ

ชนิดหนึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่อาตมภาพ แต่ว่าอาตมภาพได้ห้ามกันความ
โกรธที่เกิดขึ้นแล้วได้ด้วยเมตตาภาวนา ดังนี้แล้ว เมื่อจะประกาศโทษ
ในความโกรธ จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
เมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว บุคคลย่อม
ไม่เห็นประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น เมื่อความ
โกรธไม่เกิดขึ้น บุคคลย่อมเป็นได้ดี ความ
โกรธนั้นเกิดขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อม
คลายไป ความโกรธเป็นอารมณ์ของคนไร้
ปัญญา.
ชนทั้งหลายย่อมยินดีด้วยความโกรธที่
เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่าเป็นศัตรูแก่ตัวเอง หาความ
ทุกข์ใส่ตัว ความโกรธนั้นเกิดขึ้นแก่อาตมภาพ
แล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป ความโกรธเป็น
อารมณ์ของคนไร้ปัญญา.
อนึ่ง เมื่อความโกรธเกิดขึ้น บุคคล
ย่อมไม่รู้จักประโยชน์ตน ความโกรธนั้นเกิด
ขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป
ความโกรธเป็นอารมณ์ของคนไร้ปัญญา.

ผู้ที่ถูกความโกรธครอบงำแล้ว ย่อมละ
ทิ้งกุศลเสีย และจะซัดส่ายประโยชน์แม้มา
มายได้ เขาประกอบด้วยเสนาคือกิเลสหมู่ใหญ่
ที่น่ากลัว มีกำลังสามารถปราบผู้อันให้อยู่ใน
อำนาจได้ ความโกรธนั้นยังไม่เสื่อมคลายไป
จากอาตมภาพ ขอถวายพระพร.
ธรรมดาไฟย่อมเกิดขึ้นที่ไม้สีไฟอัน
บุคคลสีอยู่ ไฟเกิดขึ้นแต่ไม้ใด ย่อมเผาไม้
นั้นเองให้ไหม้.
ความโกรธย่อมเกิดขึ้นแก่คนพาล ผู้
โฉดเขลาไม่รู้จริง เพราะความแข็งดี แม้เขา
ก็ถูกความโกรธนั้นแหละเผาลน.
ความโกรธย่อมเจริญขึ้นแก่ผู้ใด ดุจไฟ
เจริญขึ้นในกองหญ้าแลไม้ฉะนั้น ยศของ
บุคคลนั้นย่อมเสื่อมไป เหมือนพระจันทร์ข้าง
แรม ฉะนั้น.
ความโกรธของผู้ใดสงบลงได้ ประดุจ

ไฟที่ไม่มีเชื้อฉะนั้น ยศของผู้นั้นย่อมเต็ม
เปี่ยม เหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ปสฺสติ คือ ย่อมไม่เห็นแม้
กระทั่งประโยชน์ตน จะป่วยกล่าวไปใยถึงประโยชน์ผู้อื่น. บทว่า สาธุ
ปสฺสติ
ได้แก่ ย่อมเห็นประโยชน์ทั้ง 2 คือประโยชน์ตน ประโยชน์
ผู้อื่นได้ดี. บทว่า ทุมฺเมธโคจโร คือ เป็นสถานที่รองรับของบุคคล
ผู้ไร้ปัญญาทั้งหลาย. บทว่า ทุกฺขเมสโน คือ อยากได้ทุกข์ใส่ตัว.
บทว่า สทตฺถํ ได้แก่ สิ่งที่เป็นประโยชน์ของตน คือความเจริญ
ทั้งโดยอรรถและโดยธรรม. บทว่า ปรกฺกเร ได้แก่ ทำประโยชน์
ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างไพบูลย์ให้เป็นของคนอื่น ท่านทั้งหลายจงนำออกไป
อาตมภาพไม่ต้องการสิ่งนี้.
บทว่า ส ภีมเสโน ความว่า เขาประกอบด้วยเสนาคือกิเลสหมู่
ใหญ่ที่จะให้ภัยเกิดขึ้น. บทว่า ปมทฺที คือ เพราะค่าที่ตนเป็นผู้มีเสนา
คือกิเลสหนา จึงเป็นผู้สามารถที่จะจับสัตว์ทั้งหลายแม้เป็นอันมากมา
ปราบปรามด้วยการกระทำให้อยู่ในอำนาจของตนได้. บทว่า น เม
อมุญฺจิตฺถ
ความว่า ไม่ได้หลุดพ้นไปจากสำนักของอาตมภาพ อีกอย่าง
หนึ่ง ความว่า ไม่ตั้งอยู่ในหทัยของอาตมภาพ ดุจน้ำนมไม่ตั้งอยู่โดย
ความเป็นนมส้ม เพียงชั่วครู่ฉะนั้น ดังนี้ก็มี.
บทว่า กฏฺฐสฺมึ มตฺถมานสฺมึ ได้แก่ อัน บุคคลสีอยู่ด้วยไม้สีไฟ

บาลีว่า มตฺถมานสฺมึ ดังนี้ ก็มี. บทว่า ยสฺมา ความว่า ไฟ
เกิดขึ้นแต่ไม้ใด ก็เผาไม้อันนั้นเอง. ไฟชื่อว่า คินิ.
บทว่า พาลสฺส อวิชานโต เท่ากับ พาลสฺส อวิชานนฺตสฺส
แปลว่า ผู้โง่เขลา ไม่รู้จริง. บทว่า สารมฺภา ชายเต ความว่า ความ
โกรธย่อมเกิดขึ้นแก่คนผู้ทำการฉุดมาฉุดไปว่า ฉันว่าท่านเพราะความ
แข็งดี อันมีเพราะทำให้เกินกว่าเหตุเป็นลักษณะ ดุจไฟป่าเกิดขึ้นเพราะ
การเสียดสีแห่งไม้สีไฟ ฉะนั้น.
บทว่า โสปิ เตเนว ความว่า แม้เขาคือคนพาล ก็ถูกความ
โกรธนั่นแหละเผาลน ดุจไม้ถูกไฟเผาอยู่ฉะนั้น. บาทคาถาว่า อนินฺโท
ธูมเกตุว
แปลว่า ดุจไฟที่ไม่มีเธอฉะนั้น. บทว่า ตสฺส เป็นต้น ความว่า
ยศที่บุคคลผู้ประกอบด้วยอธิวาสนขันตินั้นได้แล้ว ย่อมเต็มเปี่ยมเหมือน
พระจันทร์ข้างขึ้น ฉะนั้น.
พระราชาทรงฟังธรรมกถาของพระมหาสัตว์แล้ว ทรงยินดีรับสั่ง
ให้อำมาตย์คนหนึ่งนำนางปริพพาชิกามา แล้วตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
โดยที่ไม่มีความโกรธ ขอท่านทั้งสองจงดำรงอยู่ด้วยความสุข เกิดแต่
บรรพชาอยู่ในพระราชอุทยานนี้เถิด ข้าพเจ้าจะช่วยพิทักษ์รักษาโดย
ชอบธรรมแก่ท่านทั้ง 2 ครั้นแล้วได้ขอขมาโทษนมัสการแล้วเสด็จหลีก
ไป บรรพชิตทั้งสองนั้นได้ อยู่ ณ พระราชอุทยานนั่นเอง ต่อมานาง
ปริพพาชิกาถึงมรณภาพ พระโพธิสัตว์ เมื่อนางปริพพาชิกาถึงมรณภาพ

แล้วก็เข้าถิ่นหิมพานต์ไป ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิด เจริญพรหม-
วิหาร 4 แล้วไปสู่พรหมโลก.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรง
ประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจจะ ภิกษุมักโกรธได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล
พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า นางปริพพาชิกาในครั้งนั้น ได้มาเป็น
มารดาพระราหุลในบัดนี้ พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์
ในบัดนี้ ส่วนปริพพาชกได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาจุลลโพธิชาดกที่ 5

6. มัณฑัพยชาดก



ว่าด้วยความรักที่มีต่อบุตร



[1380] เราเป็นผู้มีความต้องการบุญ ได้มีจิต
เลื่อมใสประพฤติพรหมจรรย์อยู่เพียง 7 วัน
เท่านั้น ต่อจากนั้นมา แม้เราจะไม่มีความใคร่
บรรพชา ก็ทนประพฤติพรหมจรรย์ของเราอยู่
ได้ถึง 50 กว่าปี ด้วยความสัตย์อันนี้ ขอความ
สวัสดีจงมีแก่ยัญญทัตตกุมาร พิษจงคลายออก
ยัญญทัตตกุมารจงรอดชีวิตเถิด.
[1381] เพราะเหตุที่เราเห็นแขกในเวลาที่มาถึง
บ้านเพื่อจะพักอยู่ บางครั้งไม่พอใจจะให้พัก
เลย แม้สมณพราหมณ์ผู้เป็นพหูสูต ก็ไม่ทราบ
ความไม่พอใจของเรา แม้เราไม่ประสงค์จะให้
ให้ได้ ด้วยความสัตย์นี้ขอความสวัสดี จงมี
แก่ยัญญทัตตกุมาร พิษจงคลายออก ยัญญทัตต
กุมารจงรอดชีวิตเถิด.